การ ตรวจแบตเตอรี่รถยนต์ ก่อนเดินทาง นั้น ควรทำเป็นอย่างยิ่ง เพื่อความปลอดภัยในการเดินทาง ไม่เสี่ยงมีปัญหาระหว่างทาง ที่อาจทำให้ การเดินทาง กลายเป็นเรื่องน่าปวดหัวได้ ร้านแบตเตอรี่รถยนต์ แบตเตอรี่โอเค ขอเสนอขั้นตอนง่ายๆ ในการตรวจแบตเตอรี่รถยนต์ ก่อนเดินทาง ดังนี้
ตรวจแบตเตอรี่รถยนต์ ก่อนเดินทาง มีขั้นตอนง่ายๆ
เพราะแบตเตอรี่รถยนต์ คือหัวใจสำคัญ ของรถยนต์ ถ้าแบตเตอรี่เสีย ก็ทำให้สตาร์ทรถไม่ได้ ดังนั้นก่อนการเดินทางไกล ควรตรวจแบตเตอรี่รถยนต์ ให้พร้อม มิเช่นนั้นแล้วอาจเกิดปัญหา ระหว่างการเดินทางได้ วิธีการเช็คแบตเตอรี่รถยนต์ มีขั้นตอนง่ายๆ ดังนี้
1.เช็ค แบตเตอรี่รถยนต์ ของท่าน ว่ามีอายุการใช้งานมานานเพียงใดแล้ว
ถ้าอายุ แบตเตอรี่ ยังไม่ถึง 12 เดือน โอกาสที่แบตเตอรี่จะเสื่อมเสียเป็นไปได้น้อยมากครับ
ถ้าอายุ แบตเตอรี่ อายุ 12 – 24 เดือน ให้ลองเช็คระดับน้ำกลั่น เช็คการสตาร์ทว่าเริ่มมีอาการสตาร์ทติดยากหรือไม่
2. ถ้าเป็นแบตเตอรี่ที่สามารถเติมน้ำได้ ให้เช็คระดับน้ำกลั่น ว่าพร่องลงไหม ระยะเวลาในการดูแลน้ำกลั่น แยกเป็นตามแบตเตอรี่แต่ละประเภท ดังนี้
แบตเตอรี่ แบบน้ำ ตรวจเช็คน้ำกลั่น ทุก 1 เดือนแบตเตอรี่ แบบไฮบริด ตรวจเช็คน้ำกลั่น ทุก 6 เดือน
แบตเตอรี่ กึ่งแห้ง ตรวจเช็คน้ำกลั่น หลังจาก 12 เดือนไปแล้ว
3. เช็คสภาพแบตเตอรี่เบื้องต้น ผ่านช่องตาแมวแบตเตอรี่
ในปัจจุบัน แบตเตอรี่แทบทุกแบบ ทุกยี่ห้อ จะมีข่องตาแมวไว้เช็คสภาพแบตเตอรี่ เบื้องต้น ติดไว้ให้ผู้ใช่สามารถเช็คสภาพแบตเตอรี่ได้โดยง่าย มีวิธีการดูความหมายดังนี้
แบตเตอรี่ ที่ใช้ตาแมว เป็นสี เขียว ขาว แดง
สีเขียว แสดงว่า แบตเตอรี่ลูกนั้นๆ ยังมีกระแสไฟ เต็มปกติ
สีขาว แสดงว่า แบตเตอรี่ลูกนั้นๆ กระแสไฟอ่อน ควรนำไปชาร์จไฟ เพิ่ม
สีแดง แสดงว่า แบตเตอรี่ลูกนั้นๆ มีระดับน้ำที่พร้องลงไป ให้ทำการเติมน้ำกลั่นเพิ่มเติม
แบตเตอรี่ ที่ใช้ตาแมว เป็นสี น้ำเงิน ขาว แดง
สีน้ำเงิน แสดงว่า แบตเตอรี่ลูกนั้นๆ ยังมีกระแสไฟ เต็มปกติ
สีขาว แสดงว่า แบตเตอรี่ลูกนั้นๆ กระแสไฟอ่อน ควรนำไปชาร์จไฟ เพิ่ม
สีแดง แสดงว่า แบตเตอรี่ลูกนั้นๆ มีระดับน้ำที่พร้องลงไป ให้ทำการเติมน้ำกลั่นเพิ่มเติม
แบตเตอรี่ ที่ใช้ตาแมว เป็นสี เขียว ขาว ดำ
สีเขียว แสดงว่า แบตเตอรี่ลูกนั้นๆ ยังมีกระแสไฟ เต็มปกติ
สีขาว แสดงว่า แบตเตอรี่ลูกนั้นๆ เสียแล้ว
สีดำ แสดงว่า แบตเตอรี่ลูกนั้นๆ กระแสไฟอ่อน ควรนำไปชาร์จไฟ เพิ่ม
รายละเอียดเพิ่มเติม เรื่องตาแมวแบตเตอรี่ สามารถกดเข้าไปดูได้ ======> วิธีดูความหมายของตาแมวแบตเตอรี่รถยนต์
อาการแบตเตอรี่ เวลาเสื่อมเสีย จะแสดงออกคร่าวๆ ดังนี้
– สตาร์ทติดยาก หรือ ติดเป็นบางครั้ง แต่สามารถเปิดใช้งานระบบไฟในรถได้ปกติ อาการนี้ เป็นสัญญานเตือนที่สำคัญ ที่แบตเตอรี่ของท่านได้แจ้งว่า ใกล้ถึงอายุขัยแล้ว ในกรณีที่สตาร์ทติดยากบ่อยๆ ไม่แนะนำให้ ฝืนสตาร์ท เพราะไม่เช่นนั้นแล้ว อาจทำให้ ไดสตาร์ทของรถมีปัญหาตามมาได้
– ระบบไฟในรถ มีอาการผิดปกติ เช่น กระจกเปิดขึ้นลงได้ช้า ไฟหน้าไม่สว่างเท่าที่ควร แอร์ไม่เย็น มีอาการเครื่องยนต์เร่งไม่ขึ้น ระบบกันขโมยผิดปกติ เป็นต้น
นี่เป็นขั้นตอนการ ตรวจแบตเตอรี่รถยนต์ ขั้นต้น ที่ท่านสามารถทำเองได้โดยง่าย เพื่อที่จะได้เดินทางอย่างสบายใจ ไม่ต้องกังวลว่าแบตเตอรี่ จะเสียกลางทาง หรือ ถ้ามีเวลา ลองเข้าศูนย์บริการ ร้านแบตเตอรี่ที่มีอุปกรณ์ตรวจสอบกำลังแบตเตอรี่ เพื่อความมั่นใจก่อนออกเดินทาง
การตรวจระบบ ไดชาร์จ รถยนต์เบื้องต้น
ถ้าแบตเตอรี่มีความสำคัญมากเพียงใด ไดชาร์จก็มีความสำคัญมากเพียงนั้น คำกล่าวนี้ไม่มีนักปราชญ์คนใดกล่าวไว้ แต่อย่างใด ร้านแบตเตอรี่รถยนต์ แบตเตอรี่ โอเค ขออธิบายให้เห็นถึงความสำคัญของไดชาร์จ ดังนี้
โดยปกติแล้ว เราเข้าใจกันดี ว่า แบตเตอรี่รถยนต์ เป็นตัวเก็บกระแสไฟไว้ เพื่อคอยจ่าย กระแสไฟ (Volt) ไปหล่อเลี้ยงระบบไฟต่างๆของรถยนต์ และ เป็นตัว ปล่อย กำลังสตาร์ท เพื่อทำให้รถยนต์สามารถสตาร์ทติด ส่วน ตัวไดชาร์จ จะเป็นตัว สร้างกระแสไฟ ไปเติมให้ แบตเตอรี่เต็มอยู่เสมอ ไดชาร์จจึงเป็น อุปกรณ์ที่สำคัญมาก สำหรับรถยนต์ ทุกคัน ขั้นตอนง่ายๆในการตรวจสอบไดชาร์จเบื้องต้น มีดังนี้
ไม่มีรูปไฟแบตเตอรี่เตือนโชว์ บนหน้าปัด
เมื่อใดก็ตามที่มีสัญลักษณ์ รูปแบตเตอรี่ ขึ้นเตือนบนหน้าปัด แสดงว่ามีปัญหาเกี่ยวกับระบบการชาร์จไฟของรถยนต์ ให้รีบนำรถยนต์เข้าเช็คยังศูนย์บริการ หรือ ร้านแบตเตอรี่ ที่มีมาตรฐาน เพื่อรีบตรวจหาสาเหตุโดยเร็ว ไม่อย่างนั้นอาจทำให้ การชาร์จไฟเข้าไปเก็บในแบตเตอรี่รถยนต์ไม่เสถียร อาจเกิดปัญหารถดับกลางทาง หรือ แบตเตอรี่เสียก่อนเวลาที่สมควรได้
วัดด้วยโวลท์ มิเตอร์แล้ว กระแสไฟ ไม่น้อยกว่า 13.0 V. และไม่เกิน 14.5 V.
เมื่อใช้อุปกรณ์ ที่สามารถวัดโวลท์ได้ ไม่ว่าจะเป็น โวลท์มิตเตอร์ แบบจิ้ม หรือ โวลท์มิเตอร์แบบที่เสียบกับที่จุดบุหรี่ เมื่อสตาร์ทเครื่องยนต์แล้ว ค่ากระแสไฟ ไม่ควรน้อยกว่า 13.0 โวลท์ และ ไม่มากกว่า 14.5 โวลท์
ถ้าน้อยกว่า 13.0 โวลท์ จะทำให้ ไดชาร์จ ชาร์จไฟเข้าไปเก็บในแบตเตอรี่ ได้น้อย จะเกิดปัญหา แบตเตอรี่ค่อยๆ ไฟอ่อนลงๆ เรื่อย จนสตาร์ทไม่ติดในที่สุด หรือถ้าอาการหนักมากๆ เครื่องยนต์อาจดับกลางถนนได้
ถ้ามากกว่า 14.5 โวลท์ จะทำให้ ไดชาร์จ ชาร์จไฟเข้าไปเก็บในแบตเตอรี่ มากเกินไป อาจเกิดปัญหา แบตเตอรี่บวม ร้อนจัด จนแบตเตอรี่เสียเร็วกว่าที่ควรจะเป็นได้
ลองถอดขั้วลบแบตเตอรี่ออก ในขณะที่สตาร์ทเครื่องยนต์แล้ว
ถ้าถอดขั้วลบออกแล้ว เครื่องยนต์ดับ แสดงว่าไดชาร์จมีปัญหาครับ ให้รีบเข้าร้านไดชาร์จได้เลย
เมื่อไดชาร์จมีปัญหาแล้ว ให้รีบเข้าซ่อมโดยเร็วก่อนที่จะเกิดปัญหาอื่นๆ ตามมา ไดชาร์จเวลามีปัญหา ถ้าอาการไม่หนักมาก ไม่จำเป็นต้องเปลี่ยนทั้งลูก สามารถเปลี่ยนเฉพาะชิ้นส่วนที่มีปัญหาได้ ครับ
ทั้งหมดนี้ คือวิธีการ ตรวจแบตเตอรี่ และ ไดชาร์จ ก่อนเดินทาง เบื้องต้น เพื่อความสบายใจในการขับขี่ อย่าลืมตรวจเช็คทุกครั้ง ก่อนเดินทาง นะครับ
มีข้อสงสัยเพิ่มเติมสอบถามได้ที่ แบตเตอรี่โอเค จำหน่ายแบตเตอรี่รถยนต์ ราคาถูก ติดตั้งถึงที่ ฟรี ไม่มีค่าบริการ
089-3262221, 086-8633331, 02-7226441